ท่องเที่ยว บันเทิง สาระความรู้

ยางรถยนต์



ยางรถยนต์

ดอกยาง
                การเลือกใช้ลักษณะดอกยางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากการใช้งานอย่างเต็มที่ และตอบสนองลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วย ลายดอกยางจึงได้มีการคิดค้นและพัฒนามาโดยตลอด จนปัจจุบันมีลายดอกยางมากมายนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ดี หากแบ่งลายดอกยางโดยคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ สามารถแบ่งได้ใน 2 ลักษณะ คือ 

1) ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง
                เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้านจะสวนทิศทางกัน หากเป็นการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม






2) ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction)
                ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวาหรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้าย เว้นแต่จะถอดตัวยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้ามแต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทาง ทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทาง ป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับรถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย

ตัวเลขและสัญลักษณ์บนแก้มยาง
                ตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางรถยนต์นั้น สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติของยางได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาดของยาง เช่น หน้ากว้าง ซีรี่ส์ ขนาดขอบกระทะล้อ และยังบ่งบอกถึงขีดจำกัดความเร็วสูงสุด, ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ รวมไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวถือว่าเป็นข้อมูลทั่วๆไป ที่ท่านเจ้าของรถควรจะทราบเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยางในครั้งต่อไปได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถยนต์ของท่าน

สำหรับตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของรถเก๋ง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้
            195/60R14 85H
·       195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
·       60 คือ ซีรีส์ยาง
·       R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
·       14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
·       85 คือ ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น
·       H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด

สำหรับความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถกระบะ มีลักษณะดังนี้
            195R14C 8PR
·       195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
·       R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
·       14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
·       C คือ ยางที่ใช้เพื่อการขนส่ง (มาจากคำว่า commercial)
·       8PR คือ อัตราชั้นผ้าใบเทียบเท่า 8 ชั้น
(ในส่วนของซีรีส์ ถ้าไม่ได้ระบุ คือ ซีรีส์ 80)
 
ความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลักษณะดังนี้
            31x10.5R15
·       31 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
·       10.5 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
·       R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
·       15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว






การเปลี่ยนขนาดยาง
ข้อคำนึงในการเปลี่ยนขนาดยาง
                โดยปกติแล้ว ยางที่ติดรถออกมาจากโรงงานประกอบของรถแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นนั้น เป็นยางที่เหมาะสมกับการใช้งานที่สุดที่ทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ทดสอบแล้ว แต่เนื่องจากผู้ขับขี่แต่ละรายอาจมีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น ต้องการให้เกาะถนนดีขึ้นเมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ เพื่อความนุ่มนวลที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ขับขี่จึงต้องการเปลี่ยนขนาดยางให้เหมาะสมและตรงกับลักษณะการใช้งาน ซึ่งการเปลี่ยนยางใหม่แทนยาง ชุดเก่าให้มีขนาดที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยการเปลี่ยนขนาดยางที่ขนาดยางเส้นใหม่มีความแตกต่างไปจากขนาดเดิมนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ
                1) ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม
                2) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม

การเปลี่ยนขนาดยางไม่ถูกต้องจะก่อให้เกิดผลเสีย ดังนี้
                ขนาดยางเล็กไป
                                - ความสามารถในการรับน้ำหนักลดลง
                                - สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
                                - มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
                ขนาดยางใหญ่ไป
                                - ยางเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ
                                - พวงมาลัยหนักขณะใช้ความเร็วต่ำ
                                - มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

อายุการใช้งานของยาง
                โดยปกติอายุของยางนั้นจะเริ่มนับตั้งแต่ถูกนำไปใช้งาน คือ หลังจากที่ยางประกอบเข้ากับกระทะล้อ และติดตั้งเข้ากับรถยนต์แล้วนำไปวิ่งใช้งาน ซึ่งยางรถยนต์ทุกเส้นจะได้รับการรับประกันคุณภาพจากบริษัทผู้ผลิตแต่ละราย โดยสามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขได้จากคู่มือการรับประกันคุณภาพอายุของยางรถยนต์ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณเป็นสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัย
มีข้อแนะนำในการบำรุงรักษายางที่ถูกต้องดังต่อไปนี้
                - ตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยเติมลมยางตามมาตรฐาน
ที่ระบุในคู่มือรถยนต์
                - บรรทุกน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่มากเกินอัตราที่กำหนด เพื่อป้องกันการบวมล่อนและ
ระเบิดของโครงยาง
                - ทำการสลับยางและตรวจเช็คศูนย์ล้อ ทุก ๆ ระยะทาง 10,000 กม. หรือตามคำแนะนำ
ของผู้ผลิตรถยนต์
                - ขับขี่อย่างระมัดระวังบนถนนขรุขระ และหลีกเลี่ยงสิ่งมีคมต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมันหรือสารเคมี
                ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน จึงควรเพิ่มการดูแลเอาใจใส่ยางรถยนต์มากยิ่งขึ้น และเลือกใช้ยางให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย 

ปัจจัยที่มีผลต่อการสึกหรอของยาง
                ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปได้ และยางรถยนต์ยังเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานไปนานๆ ยางก็ย่อมเกิดการสึกหรอ หากแต่การสึกหรอของดอกยางจากการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน และการดูแลรักษาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อการสึกหรอมีดังนี้
                ความดันลมยาง
                การเติมลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานทำให้อายุยางสั้นลง บริเวณไหล่ยางจะเกิดความร้อนสูงและสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งอาจทำให้เนื้อยางไหม้และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน อันนำไปสู่การบวมล่อนและระเบิดของยาง นอกจากนี้ อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย
                การเติมลมยางมากเกินไป
                ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับพื้นถนนลดลง อาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย และโครงยางอาจระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่ เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย อายุยางก็จะลดน้อยลง เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น และทำให้ความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลงอีกด้วย
                น้ำหนักบรรทุก
                การบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้มีการบิดตัวบริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้นผิวถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนได้ง่าย เป็นผลให้มีการสึกหรอของเนื้อยางอย่างรวดเร็ว อายุยางก็จะสั้นลง
                ความเร็ว
                ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงเสียดทานและความร้อนที่เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อความต้านทานต่อการสึกหรอ ทำให้อายุของยางลดลงตามไปด้วย

                การเบรกและการออกตัว
                ในขณะที่รถยนต์วิ่งอยู่บนถนนจะเกิดแรงเฉื่อยซึ่งมีค่าสูงกว่าความเร็ว ดังนั้น เมื่อเบรกจนล้อหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของตัวรถจะดันให้ล้อลื่นไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ยางเกิดการสึกหรอ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและระยะในการเบรกเป็นสำคัญ ส่วนการออกตัวอย่างรุนแรง ทำให้ล้อหมุนฟรี หน้ายางจะเสียดสีกับพื้นถนนอย่างหนัก ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น
                สภาพรถยนต์
                เช่น ช่วงล่างและศูนย์ล้อ มีผลอย่างมากกับการสึกหรอที่รวดเร็ว หากระบบศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเปคของรถ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานและลื่นไถลที่หน้ายางมากกว่าปกติ
                สภาพผิวถนน
                ผิวถนนยิ่งราบเรียบมาก ยางก็จะยิ่งสึกหรอช้า ใช้งานได้นานกว่าการขับรถบนถนนที่ขรุขระ เพราะความต้านทานต่อการหมุนบนถนนเรียบมีน้อยกว่า ยางจึงเสียดสีกับผิวถนนเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยแรงที่น้อยกว่า นอกจากนี้ ลักษณะเส้นทางก็มีผลเช่นกัน การขับขี่บนทางตรงจะเกิดการสึกหรอช้ากว่าการขับขึ้นเขาหรือขับบนถนนที่คดเคี้ยว
                สภาพภูมิอากาศ
                ยางรถยนต์มีส่วนผสมหลักเป็นยางธรรมชาติ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงได้น้อยกว่ายางสังเคราะห์ ดังนั้น หากยางเกิดความร้อนมากขึ้นจากการใช้งาน ก็จะยิ่งส่งผลต่อการสึกหรอที่รวดเร็วขึ้น
                ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้การสึกหรอเกิดขึ้นช้าที่สุด สม่ำเสมอใกล้เคียงกันในทุกตำแหน่งล้อ และให้ประสิทธิภาพของยางแต่ละเส้นใกล้เคียงกันมากที่สุด คือ ควบคุมปัจจัยอันเป็นสาเหตุหลักของการสึกหรอของยาง โดย
                - ตรวจเช็คและปรับแต่งความดันลมยางให้อยู่ในค่ามาตรฐานด้วยวิธีการที่ถูกต้องเป็นประจำในขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือก่อนการใช้งาน
                - ไม่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไป หากเป็นการใช้งานเพื่อบรรทุกหนัก ควรเลือกใช้ยาง
ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
                - ไม่ควรขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในยางสูง อันเป็นสาเหตุ
ให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น
                - ใช้ความเร็วในการขับขี่ที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการเบรกหยุดรถอย่างกระทันหัน
หรือการออกตัวอย่างรุนแรง
                - ดูแลรักษาศูนย์ล้อและระบบช่วงล่างอย่างสม่ำเสมอ
                - หลีกเลี่ยงถนนที่มีสภาพทุรกันดาร ขรุขระ มีหลุมบ่อ หากต้องขับขี่บนถนนดังกล่าว ควรเลือกใช้ดอกยางให้ถูกประเภทและลดความเร็วในการขับขี่ลง
เปลี่ยนยางเส้นเดียวควรไว้ที่ตำแหน่งใดตามมาตรฐานแล้ว ยางที่อยู่บนเพลาเดียวกัน ควรจะมีขนาดดอกยาง และอัตราการสึกหรอเท่ากัน เพื่อที่เวลาเบรกกระทันหันแล้วจะไม่เกิดอาการรถปัด หรือเสียการทรงตัว ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ หากยางในตำแหน่งล้อหน้า และล้อหลังแตกต่างกันแล้ว ให้เอายางที่มีความสามารถในการยึดเกาะถนนน้อยกว่าไว้ในตำแหน่งล้อหน้า โดยพิจารณาจากขนาดดอกยาง และอัตราการสึกหรอ ดังนั้น การเปลี่ยนยางใหม่ครั้งละ 2 เส้น จึงควรนำยางใหม่ไว้ในตำแหน่งล้อหน้าเสมอ เพื่อให้การควบคุมพวงมาลัยทำได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียว เนื่องจากการเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียวนั้นไม่สามารถจับคู่เข้ากับยางเดิม ในตำแหน่งล้อหน้าหรือล้อหลังได้เลย ก็ควรนำไปเป็นยางอะไหล่ แล้วรอจนกว่าจะซื้อยางเส้นใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 เส้น ที่มีขนาดและดอกยางเดียวกันกับยางอะไหล่เดิม จึงจะสามารถจับคู่กันได้

ข้อควรรู้ในการเปลี่ยนยางใหม่
                เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่สำหรับรถคุณ สิ่งที่คุณควรรู้และตรวจสอบทุกครั้งก็คือ
                1. ควรเลือกใช้ยางที่มีขนาด ชนิดโครงสร้างของยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกร่องดอกยางที่เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน
                2. ควรเลือกใช้ยางยี่ห้อและรุ่นเดียวกันทั้งชุด หากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรใส่ยางยี่ห้อและรุ่นเดียวกันในเพลาหรือล้อคู่เดียวกัน
                3. ควรเปลี่ยนยางทั้งชุดในคราวเดียวกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพการใช้งานของยางทุกเส้นใกล้เคียงกัน หรือเปลี่ยนครั้งละ 2 เส้นในเพลาเดียวกัน
                4. หากจำเป็นต้องเปลี่ยนคราวละ 2 เส้น ยางเส้นใหม่ควรติดตั้งที่ตำแหน่งล้อขับเคลื่อน
                5. กรณีที่เลือกใช้ยางแบบทิศทางเดียว (uni-direction) ต้องตรวจดูทิศทางการหมุนของยางว่าถูกต้องไปตามทิศทางที่กำหนดหรือไม่ โดยสังเกตจากเครื่องหมายลูกศรที่ระบุไว้บนแก้มยาง เพราะการใส่ยางกลับทิศทาง จะทำให้ประสิทธิภาพของยางในการรีดน้ำลดลง ในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่นั้น

การปรับตัวของยางใหม่
                ยางรถยนต์เส้นใหม่ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ใหม่ เมื่อเริ่มนำไปใช้งานจริงก็ต้องมีการปรับสภาพตัวเองไปกับการใช้งาน หรือที่เรียกกันว่า ระยะรันอิน (run in) ดังนั้น ในระยะ 100-200 กิโลเมตรแรกของการใช้งาน จึงไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินไป ควรขับขี่อยู่ที่ความเร็วไม่เกิน 80-100 กม./ชม. เพื่อให้โครงยาง แก้มยาง และหน้ายางปรับสภาพไปกับการใช้งานบนพื้นผิวถนน เนื่องจากมุมล้อของรถแต่ละคันนั้น ไม่ว่าจะเป็น มุมโท (toe) มุมแคมเบอร์ (camber) หรือ มุมคาสเตอร์ (caster) ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ยังเป็น การถนอมช่วงล่างของรถอีกด้วย
                นอกจากนี้ สำหรับยางใหม่ที่ได้รับการเติมลมยางครั้งแรกแล้ว ควรเพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คความดันลมยางด้วย เพราะโครงยางจะมีการยืดขยายออกอีกเล็กน้อย สืบเนื่องจากการปรับสภาพในการใช้งานจริง ซึ่งอาจเป็นผลให้ความดันลมยางลดต่ำลงเล็กน้อย ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คความดันลมยางทุกๆ สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละครั้ง

เลือกยางอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน
                โดยปกติแล้ว บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ได้ออกแบบยางเพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีดอกยางในลักษณะต่างๆ กัน เช่น  ดอกบล็อก จะมีลวดลายของดอกยาง แยกเป็นอิสระต่อกัน เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและรีดน้ำได้ดี ทำให้ควบคุมพวงมาลัย
ได้ง่าย และช่วยในการทรงตัวของรถ อีกทั้งดอกยางยังสามารถระบายความร้อนได้ดีอีกด้วย ดอกยางที่มีลักษณะเป็นบล็อกเล็กๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบและนุ่มนวลในการขับขี่ แต่หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน ก็ต้องเลือกดอกยางที่เป็นบล็อกใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ ยังมีลักษณะดอกยาง ที่เป็นดอกบล็อกเช่นกัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะเรียกว่า ยูนิ-ไดเร็กชั่น
ซึ่งลายดอกยางนั้น จะเป็นร่องยางขนานกันไปทั้งซ้ายและขวาในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีลูกศรที่แก้มยาง กำหนดทิศทางการหมุนของยาง เพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำ ทำให้รถทรงตัวได้ดีในสภาพน้ำขัง ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากใส่ยางกลับทิศจากที่กำหนด ประสิทธิภาพการรีดน้ำของยางก็จะลดลง
                สำหรับผู้ที่นิยมรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งเป็นยาง ที่มีลักษณะเป็นดอกยาง ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้เหมาะสมกับทุกสภาพถนนในทุกฤดูกาล นั่นก็คือ  ดอก ออล เทอร์เรน  ซึ่งเป็นลักษณะดอกบล็อกอีกแบบหนึ่ง แต่หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยในลักษณะ off-road  ลุยเข้าไปในป่าแต่เพียงอย่างเดียว การเลือกใช้ยางที่เป็นแบบ mud terrain อาจมีความเหมาะสมมากกว่า

ข้อดี ข้อเสียของการเปลี่ยนขนาดขอบกระทะล้อและยาง
                การเปลี่ยนขนาดของขอบกระทะล้อและยางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้นหรือน้อยลงก็ตาม มีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
การเปลี่ยนกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น แต่ใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางต่ำลงหรือ มีซีรี่ส์ต่ำลง มีข้อดีก็คือช่วยเพิ่มการทรงตัวและยึดเกาะถนนขณะที่ใช้ความเร็วบนทางตรงและทางโค้งได้ดียิ่งขึ้น การเบรกก็ทำได้ดีกว่าเดิม แต่ข้อเสียก็คือ การต้องใช้แก้มยางที่ต่ำลง ทำให้ช่วงล่างสึกหรอเร็วและความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
                ส่วนการเปลี่ยนขนาดกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น และใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ข้อดีคือ มีความนุ่มนวลเพิ่มขึ้น แต่อัตราเร่งอาจลดต่ำลงกว่าเดิม การทรงตัวในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงก็จะไม่ดีเท่าที่ควร

การดูแลรักษายางรถยนต์
                ด้วย หน้าที่ในการยึดเกาะถนนของยางรถยนต์ อันเป็นส่วนหนึ่งของระบบกันสะเทือน ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ ขับรถได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยตลอดการเดินทาง ยางรถยนต์แต่ละเส้น จึงต้องได้มาตรฐาน เหมาะสมกับประเภท และการใช้งานของรถ เพราะประสิทธิภาพของยาง ขึ้นอยู่กับสภาพของยางแต่ละเส้น
                ปัจจัย สำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยางก็คือ ความดันลมยาง ถ้าความดันลมภายในยาง มากหรือน้อยกว่าที่กำหนด จะมีผลทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลง เช่น ถ้าความดัน ลมยางมากเกินไป จะมีผลทำให้ดอกยางสึก โดยเฉพาะบริเวณตอนกลางของหน้ายาง เพราะโครงยางจะเบ่งตัวเต็มที่ อาจทำให้ยางระเบิดได้ง่าย หากรับแรงกระแทกรุนแรง หรือของมีคม แต่ถ้าความดันลมยางน้อยเกินไปก็จะมีผลทำให้ไหล่ยางด้านข้างทั้งซ้าย และขวาสึก ส่วนตอนกลางของยางจะยุบตัวเข้าไปหรือที่เรามักเรียกว่า ยางแบน
                การรับน้ำหนัก ถ้ารถมีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตราส่งผลให้ยางเกิดความร้อนสูงสึกหรอเร็ว แล้วถ้าล้อใดล้อหนึ่งรับน้ำหนักมากกว่าล้ออื่น จะทำให้ล้อนั้น ๆ สึกหรอเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสภาพถนนที่ขรุขระ สภาพรถเกี่ยวกับศูนย์ล้อ เช่น มุมโทอิน*, มุมโท-เอาต์* และมุมแคมเบอร์** ของรถยนต์ถ้าไม่ถูกต้องตามกำหนดของรถแต่ละรุ่น ก็จะทำให้ยางสึกหรอเร็วและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิธีการขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์ การขับรถด้วยความเร็วสูง หรือการหยุดที่ความเร็วสูง รวมทั้งการเบรกและออกตัว อย่างรุนแรงก็มีผลทำให้ยางสึกหรอเร็วยิ่งขึ้นอีก
                การสังเกตว่ายางหมดอายุ หรือใกล้หมดอายุการใช้งานหรือไม่นั้นให้ดูที่สัญลักษณ์รูปหรืออักษร Twi ที่ไหล่ยาง รอบ ๆ แก้มยาง ข้างละประมาณ 6 จุด ห่างกันประมาณ 60 องศาจากปลายมุมสามเหลี่ยม เมื่อลากเส้นผ่านหน้ายาง จากไหล่ยางด้านหนึ่งไปยังไหล่ยางอีกด้านหนึ่งภายในร่องยาง ตามแนวที่กล่าวมา จะมีเนื้อยางเป็นเส้นนูนขึ้นมา โดยเฉลี่ยจะมีความสูงจากความลึกของ ร่องยางปกติประมาณ 2 มิลลิเมตร ดังนั้นเมื่อยางถูกใช้งานไปนาน ๆ ควรเปลี่ยนยางใหม่ เนื่องจากถ้าใช้ต่อไปอาจเกิดปัญหาทางด้านประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและการ หยุดรถได้
                การดูแลรักษา สามารถทำได้โดยหมั่นเช็กลมยางอยู่เสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และหลีกเลี่ยงถนนหนทางที่ขรุขระ หลีกเลี่ยงการขับชนฟุตบาท นอกจากนี้ขณะออกรถไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ และออกตัวอย่างรวดเร็ว เพราะจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติและไม่ควรจอดรถชิดจนติดกับฟุตบาท เพราะอาจทำให้โครงยางชำรุด ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ายางมีแผล และเป็นแผลชำรุดที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่
                เท่านี้ก็จะช่วยให้ทั้งคุณและรถปลอดภัย และเดินทางต่อไปได้อย่างมั่นใจเต็มร้อย
การคำนวณขนาดยางรถยนต์
                มีคำถาม บ่อยครั้ง ที่ท่านเจ้าของ รถยนต์ อยากที่จะเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนล้อ สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ ขนาดของยาง จะใช้ขนาดไหนดี ? อันนี้เราขอแนะนำให้พยายามเลือก ขนาดยางใหม่ ให้มีความสูง หรือ จะเรียกแบบเป็นทางการว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง ให้มีขนาดหลังเปลี่ยนแล้ว ใกล้เคียงของเดิม ( Standard ) มากที่สุด เพราะจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง เช่น วิ่งไม่ออก , กินน้ำมัน , ติดซุ้ม , ติดโช๊ค เป็นต้น
                ดังนั้น เราลองมาหาขนาด ยางใหม่ โดยใช้วิธีการคำนวนง่ายๆ แต่ทั้งนี้ เราต้องหาตัวเลขที่ยาง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลด้วยนะครับ ลองดูตามนี้
                สูตรคำนวน D = ( W x S% x 2 ) + d
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (หน่วยเป็น มม. )
W = ความกว้างของยาง
S = ซีรี่ย์ยาง คิดเป็น % แต่ต้อง คูณ 2 เพราะต้องคิดทั้ง 2 ข้าง บนและล่าง
d = เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ

ตัวอย่างที่ 1 ขนาดยาง 195 / 55 / R15
W = 195
S = 55% ของ 195 ( 195 x 55% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 214.5 มม.
d = 15 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 15 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 381 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 214.5 + 381 = 595.5 มม.

ตัวอย่างที่ 2 ขนาดยาง 205 / 45 / R16
W = 205
S = 45% ของ 205 ( 205 x 45% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 184.5 มม.
d = 16 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 16 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 406.4 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 184.5 + 406.4 = 590.9 มม.

                ดัง นั้น หากท่านใดที่จะเปลี่ยนขนาดล้อและยาง ก็ต้องคำนวณ ขนาดความสูงออกมาให้ใกล้เคียงกับขนาดยางเดิม มากที่สุด ถึงจะไม่มีผลข้างเคียงต่อการขับขี่




















ยางรถจักรยานยนต์




                มีคำถามเข้ามามากมายเกี่ยวกับเรื่องยางรถจักรยานยนต์ ว่าควรเลือกยางแบบไหน และจะพิจารณาอะไรเป็นปัจจัยสำคัญรวมถึงเทคนิคการดูแลและบำรุงรักษายางให้คง ทนยาวนาน ซึ่งในฉบับนี้เราจะมาเริ่มต้นที่การเลือกซื้อยางก่อน โดยเมื่อจะซื้อยางมอเตอร์ไซค์ ควรเลือกขนาดยางให้พอดีกับรถและดูชนิดของยางให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้ งานด้วย และควรพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้

การรับน้ำหนัก
                อย่าบรรทุกให้เกินน้ำหนักที่กำหนดไว้สำหรับยางชนิดนั้น ๆ ทั้งควรคำนึงถึงน้ำหนักของรถมอเตอร์ไซค์น้ำหนักของอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ รวมทั้งน้ำหนักของผู้โดยสารอื่นที่นั่งซ้อนไปด้วย ควรระลึกไว้เสมอว่ายางจะรับน้ำหนักได้น้อยลงถ้าสูบลมไว้อ่อน แต่ถ้าลมยางอ่อนก็จะทำให้รับน้ำหนักเกินกำลังไม่ได้

การใช้ความเร็วกับยางมอเตอร์ไซค์
                การจะใช้ความเร็วสูงด้วยความมั่นใจก็ต้องดูด้วยว่าเป็นยางใหม่ไม่ชำรุด ดอกยางไม่สึก ลมยางสูบไว้ถูกต้อง รวมทั้งไม่บรรทุกหนักเกินไปด้วย นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

ยางนอกไม่ต้องใช้ยางในใหม่
                เมื่อใช้ยางนอกยี่ห้อใด ก็ควรใช้ยางในยี่ห้อเดียวกัน ยางในจะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง จึงต้องพิถีพิถันคัดเลือกให้ดี เมื่อเปลี่ยนยางนอกใหม่ก็ควรเปลี่ยนยางในไปพร้อม ๆ กันเพราะยางในเส้นจะยืดไปแล้วหากนำมาใส่กับยางนอกใหม่อาจเกิดรอยพับแล้ว เสียดสีกันเอง เมื่อยางบางก็จะรั่วซึมได้ยางในดีจะพิมพ์ขนาดของยางนอกที่จะใช้ด้วยกันไว้ จึงควรเลือกใช้ให้ตรงกัน

ขนาดของล้อ
                ต้องเลือกยางรถมอเตอร์ไซค์ให้พอดี กับขนาดขอบล้อรถ เช่น ใช้ยางขนาด 17 นิ้ว กับล้อรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 17 นิ้ว การใช้ยางที่ขนาดหน้ายางงไม่ถูกต้องจะทำให้บังคับรถยากและทรงตัวไม่ดีด้วย ถ้าใส่ยางกับขอบล้อที่กว้างกว่ากำหนดหน้ายางจะแบน การขับขี่เข้าโค้งจะทำให้แก้มยางเสียดสีกับพื้นได้ง่าย

ระยะห่างของล้อ
                เมื่อใส่ล้อ / ยางรถมอเตอร์ไซค์ ต้องดูระยะห่างของล้อรถกับบังโคลนและส่วนอื่น ๆ ของรถมอเตอร์ไซค์ด้วย เพราะยางขนาดเบอร์เดียวกันแต่ต่างยี่ห้อกันหือต่างรุ่นกัน อาจมีขนาดความกว้างของแก้มยางหรือดอกยางต่างกันจึงควรระวังเพราะยางอาจเสียด สีกับส่วนอื่นด้วย ถ้าจะใช้ยางขนาดใหญ่ขึ้นอาจจะต้องเปลี่ยนล้อให้มีขอบกว้างขึ้นด้วย และเมื่อใส่ยางหรือขอบล้อใหญ่ขึ้นต้องลองหมุนดูให้มีระยะห่างจากส่วนอื่น ๆ พอสมควร

การเปลี่ยนยางเก่า
                อย่าลืมว่า ยางหน้าต้องเข้าคู่กับยางหลัง ตามข้อกำหนดของผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้ขับขี่ได้ปลอดภัยและควบคุมรถได้ดี เมื่อจะเปลี่ยนยางหน้าควรดูดอกของล้อหลังด้วย ดอกยางใหม่ ๆ ของล้อหน้าอาจทำให้ควบคุมรถยากเมื่อใช้ร่วมกับยางหลังที่สึกไปมากแล้ว

การถ่วงล้อ
                วัตถุยืดหยุ่นได้ เช่น ยางของรถมอเตอร์ไซค์นั้น ไม่สามารถผลิตให้ออกมาได้กลมอย่างสมดุลย์ ดังนั้นต้องถ่วงล้อ (ควรถ่วงล้อแบบล้อหมุน) หลังจากใส่ยางใหม่ทุกครั้งมีวิธีถ่วงล้ออยู่ 2 วิธี คือ แบบล้อนิ่งและแบบล้อหมุน ถ้าใช้ยางขอบกว้างเกิน 2.5 นิ้ว ข้อควรระวัง เพื่อป้องกันลมรั่วตามขอบล้อควรใช้ตะกั่วถ่วงชนิดที่ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซ ค์แนะนำ เช่น ใช้ถ่วงที่เส้นลวดซี่ล้อ ใช้ลวดตะกั่วหรือใช้ตุ้มน้ำหนักแบบแปะด้วยแถบกาว (ไม่ควรใช้น้ำยาถ่วงล้อชนิดที่ใช้ฉีดเข้าไปในล้อรถมอเตอร์ไซค์) แทนที่จะใช้แบบเสียบที่ขอบล้อ เช่น ที่ใช้ถ่วงล้อรถยนต์

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
                ควรตั้งศูนย์ถ่วงล้อทุกครั้งที่ถอดล้อหลังหรือเมื่อปรับความตึงโซ่ ถ้าตั้งศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง เมื่อหมุนล้อไปแต่ละรอบยางสึกเร็วขึ้น ทำให้อายุการใช้งานลดลง และบังคับรถหรือทรงตัวยากขึ้น
การรัน-อิน
                เมื่อใส่ยางใหม่ ๆ ควรถนอมยางสักพัก โดยไม่ขับขี่ให้เร็วมากหรือเข้าโค้งแคบด้วยความเร็วสูง เมื่อใช้ยางไปสัก 160-250 กม. ยางจะปรับเข้ากับขอบล้อได้ดี จึงค่อยขับขี่ได้เต็มที่

ความดันลมยาง
                สูบลมยางให้พอดีตามข้อกำหนดและควรตรวจวัดความดันลมทุกสัปดาห์ โดยวัดขณะที่ยางยังเย็นอยู่ ถ้าสูบลมแข็งเกินไปรถจะเด้งง่ายขับขี่ไม่สบายและยางสัมผัสกับถนนน้อยลง แต่ถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะขับขี่ได้ลำบากและรถยังสะบัดได้ง่าย นอกจากนี้ลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้ยางสึกเร็ว เปลืองน้ำมันความเร็วก็ต่ำกว่าที่ควรและยังควบคุมได้ยาก
                ผลร้ายที่สุดจากการสูบลมยางไม่ถูกต้องตามกำหนดก็คือ ยางจะสึกเร็วกว่าปกติคุฯสมบัติของเนื้อยางที่เขานำมาผลิตล้อรถมอเตอร์ไซค์ นั้นออกแบบมาเพื่อทนความร้อนได้ระดับหนึ่ง แต่ยางที่สูบลมไม่ถูกต้องจะมีหน้ายางสัมผัสถนนไม่สมดุลย์ ทำให้ยางร้อนเกินไปและสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ นอกจากบกพร่องที่สูบยางไม่ตรงตามกำหนด การใช้ยางขนาดเล็กหรือยางที่ใช้ ได้กับความเร็วไม่พอกับการขับขี่จริงก็จะทำให้ยางร้อนและสึกหรอเร็วขึ้น
                คำแนะนำทั่วไปก็คือเพิ่มแรงดันลมยางหลังขึ้น 0.2 บาร์ (3 ปอนด์/ตารางนิ้ว) เมื่อขับขี่ซ้อนกันสองคน เพิ่มแรงดันลมทั้งยางหลังและยางหน้าขึ้น 0.2 บาร์ (3 ปอนด์/ตารางนิ้ว) เมื่อจะขับขี่ทางไกลด้วยความเร็วสูงติดต่อกัน เช่น บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ควรตรวจสอบแรงดันลมยางรถมอเตอร์ไซค์ทุกสัปดาห์

วิธีการเลือกยางยางมอเตอร์ไซค์
     ในขณะที่คุณก้าวขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของคุณ และขับมันออกไป คุณเคยคิดหรือไม่ว่าล้อและยางที่ใช้ขับเคลื่อนและทรงตัวเพื่อไปให้ถึงจุด หมายปลายทาง มีสภาพที่ดีเหมาะสมพร้อมใช้งานหรือเปล่า ดังนั้นเราควรเลือกใช้ยางให้พอดีกับรถมอเตอร์ไซค์และเหมาะสมกับการใช้งานของ รถมอเตอร์ไซค์ของคุณ ซึ่งสิ่งที่ควรพิจารณามีดังนี้
                ขนาดของยางที่ควรเลือกใช้
                ควรเลือกใช้ยางขนาดเดิมที่ได้รับการ ประกอบมาจากโรงานผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซด์ เพราะผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซด์ ได้ออกแบบขนาดยางให้เหมาะสมกับขนาดของรถมอเตอร์ไซด์แต่ละรุ่น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและสมรรถนะที่เหมาะสม
                หากมีความต้องการจะเปลี่ยนขนาดยาง ก็อาจจะเปลี่ยนได้บ้าง แต่ควรจะต้องคงไว้ซึ่งขนาดหน้ากว้างของยาง และขนาดวงล้อ เช่น ยางที่ติดรถมาเป็นขนาด 70/90-17 เราอาจจะสามารถเปลี่ยนเป็น 70/80-17 หรือ 70/100-17 ได้ แต่ไม่ควรเปลี่ยนวงล้อจาก 17 เป็นวงล้อขนาดอื่น และไม่ควรเปลี่ยนขนาดหน้ากว้างของยางจาก 70 ไปเป็นขนาดอื่น
                ความกว้างของวงล้อ
                ควรใช้ขนาดความกว้างวงล้อให้เหมาะสมกับ ขนาดของยาง การใช้วงล้อที่แคบเกินไป หรือกว้างเกินไปจะส่งผลให้ยางไม่อยู่ในรูปทรงที่ออกแบบไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อสมรรถนะในการขับขี่
การรับน้ำหนักของยาง
                ยางแต่ละเส้นจะมีระบุไว้ว่าสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไร ซึ่งหมายรวมถึงน้ำหนักตัวรถและน้ำหนักตัวผู้ขับขี่และน้ำหนักบรรทุกทั้งหมด
การระบุความสามารถในการรับน้ำหนักจะระบุ ไว้เป็น ดัชนีการรับน้ำหนัก ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในตารางดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index)
                การเติมลมยาง
                ความดันลมยางควรตรวจลมยางให้พอดีกับ น้ำหนักและข้อกำหนดที่บอกไว้กับยางมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ และควรตรวจวัดความดันลมทุกครั้งที่ออกเดินทางไกล หรือตรวจความดันลมยางทุกสัปดาห์ การตรวจวัดลมยางควรทำขณะที่ยางยังเย็นอยู่ เพราะถ้าทำขณะที่ยางมีความร้อนอากาศภายในยางจะขยายตัวทำให้ค่าผิดเพี้ยนไป ถ้าความดันลมยางมากเกิน หน้ายางจะสัมผัสกับถนนได้น้อย ทำให้มีการสะเทือนของล้อมากกว่าปกติ และทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ แต่ถ้าความดันลมยางน้อยเกิน ยางจะแบนหน้ายางจะสัมผัสกับพื้นถนนมากยางจะสึกหรอเร็วและเปลืองน้ำมันมาก ขึ้น การเติมลมยางที่พอดีตามข้อกำหนด จะทำให้ขับขี่ปลอดภัยและช่วยยืดอายุของยางให้ใช้งานได้นานขึ้น
                ควรเปลี่ยนยางเมื่อไหร่
                คำถามที่มักพบบ่อยคือเมื่อไหร่ควรจะ เปลี่ยนยาง บางครั้งเราอาจจะรอให้ยางสึกจนหมดไม่เห็นลายดอกยางแล้ว จึงคิดถึงการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายในการขับขี่ได้ ยางทุกเส้นจะมีจุดบ่งบอกว่าควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว บนยางทุกเส้นจะมีตำแน่ง TWI ซึ่งสามารถสังเกตุเห็นได้ง่ายบนแก้มยาง ณ ตำแน่งที่มีระบุ TWI อยู่ เมื่อมองลงไปในลายดอกยางแล้วเราจะเห็นว่า จะมียางนูนขึ้นมามากกว่าตำแน่งทั่วไป เมื่อไหร่ก็ตามที่ยางสึกจนถึงตำแหน่งยางที่นูนขึ้นมาแล้ว ก็ควรจะเปลี่ยนยางเส้นใหม่
ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางนอกควรเปลี่ยนยางใน ไปพร้อมกันด้วย เพราะถ้ายางในยืดไปนานแล้ว เมื่อนำมาใส่กับยางนอกใหม่ อาจเกิดรอยพับที่ยางใน และจะทำให้เกิดการเสียดสีกันทำให้รั่วซึมได้
                หลายๆ ท่าน อาจเลือกใช้ยางโดยคำนึงเพียงเรื่องราคาถูก หรือ ความสวยงามหรือตามกระแสนิยมของวัยรุ่นซึ่งบางทีอาจจะไม่เหมาะกับรถ มอเตอร์ไซด์ของท่าน สิ่งที่ตามมาก็คืออุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ท่านอาจลืมสิ่งสำคัญไปว่ายางเป็น ปัจจัยสำคัญกับความปลอดภัยของชีวิตท่าน ดังนั้นเลือกใช้ยางที่ดีมีคุณภาพเพื่อความปลอดภัยของท่านในวันนี้