ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immunity)
การที่บุคคลใดจะเกิดโรคขึ้นจะต้องอาศัยปัจจัย 3
ประการ คือ ตัวเชื้อโรค
บุคคลและสิ่งแวดล้อม
บางคนเจ็บป่วยได้ง่าย แต่บางคนไม่ค่อยเจ็บป่วย ทั้งที่ๆมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอยู่เสมอ เนื่องจากร่างกายของคนเรามีความต้านทาน หรือภูมิคุ้มกันโรคนั่นเอง
ภูมิคุ้มกันโรค (Immunity)
หมายถึง
ร่างกายมีความต้านทานเกิดจากมีกลไกป้องกันหรือต่อต้านโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ
และภูมิคุ้มกันโรคนี่อาจจะเป็นเพียงชั่วคราวหรือตลอดไปก็ได้
ภูมิคุ้มกันโรคโดยทั่วไปอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1.
ภูมิคุ้มกันโรคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ (Natural Immunity)
เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด
โดยมารดาจะถ่ายทอดผ่านทางรกมาสู่ทารกในครรภ์ ดังนั้น
ทารกที่เกิดใหม่จะมีภูมิคุ้มกันโรคบางชนิด
เช่น โรคคอตีบ โรคหัด
และไข้ทรพิษได้เองตามธรรมชาติ
แต่ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้คงอยู่ได้ประมาณ 3
เดือนหลังคลอด
ต่อจากนั้นทารกจะมีภูมิคุ้มกันโรคลดลง
นอกจานี้ร่างกายของคนเราโดยทั่วไปยังมีผิวหนัง เยื่อเมือกต่างๆ เช่น
เยื่อตาและเยื่อจมูก น้ำย่อยอาหาร
และเม็ดเลือดขาวไว้สำหรับคุ้มกันโรคตามธรรมชาติอีกด้วย ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้ จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ เพศ
อายุ
และความสมบรูณ์ของบุคคลเหล่านั้นๆ
2.
ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง
(Acquired
Immunity) เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นหลังคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว ภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้ยังแบ่งออกได้เป็น 2
ประเภทคือ
2.1
ประเภทที่เกิดขึ้นภายหลังจากหายป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น
ไข้ทรพิษ หัด อีสุกอีใส
คางทูม เป็นต้น ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นนี้ อาจมีอยู่ระยะเวลาหนึ่งหรือมีอยู่ได้นานตลอดชีวิตก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและสภาพของบุคคลด้วย
2.2 ประเภทที่ทำให้เกิดได้โดยการปลูกฝี ฉีดวัคซีนเซรุ่มและท็อกซอยด์ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีหรือสร้างคุ้มกันเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้นมา ภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้ อาจแบ่งออกตามลักษณะการเกิดขึ้นได้เป็น 2
ชนิด ดังนี้
(1) ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active Immunization)
หมายถึง
ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดตัวเชื้อโรคหรือผลิตผลของตัวเชื้อโรค
ซึ่งได้ทำให้รุนแรงของตัวเชื้อหรือพิษเชื้อให้น้อยลงเข้าไปในร่างกายของมนุษย์
เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคนั้นขึ้นมาได้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น
วัคซีนป้องกันโรค โรคไอกรน โรคคอตีบ
โรคอหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย เป็นต้น
(2) ภูมิคุ้มกันรับมา (Passive Immunization)
หมายถึง
ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดผลิตผลของเลือดสัตว์หรือมนุษย์ ที่ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันโรคนั้นเข้าไปในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคทันทีต่างจากประเภทแรกซึ่งร่างกายจะต้องค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมาเอง การสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้ ได้แก่
การให้เซรุ่มป้องกันโรคต่างๆ
เช่น โรคพิษงู โรคพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก
คอตีบ เป็นต้น
ซีรัม (Serum)
หมายถึง ส่วนผสมของน้ำเหลืองของสัตว์โดยการฉีดเชื้อโรคเข้าไปในสัตว์ทีละน้อยๆจนกระทั่งสัตว์นั้นสามารถสร้างความต้านโรคขึ้นในเลือดได้เพียงพอ จึงเอาน้ำเหลืองจากเลือดของสัตว์มาทำให้เป็นน้ำยาฉีดเข้าไปในคนเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคนั้นๆได้ โดยในน้ำเหลืองของสัตว์จะมีสารต้านทานโรค เรียกว่า
แอนติท็อกซิน (Antitoxin)
วัคซีน (Vaccine) หมายถึง
สารที่ได้จากการทำให้เชื้อโรคตายหรือหมดฤทธิ์ เมื่อฉีดเข้าร่างกายจะไม่ทำให้เกิดโรค
แต่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ การใช้วัคซีนนี้ เรียกว่า
การสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยตรง
(ภูมิคุ้มกันก่อเอง) เพราะเมื่อให้วัคซีนแล้วร่างกายค่อยๆสนองตอบและสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมาต้านทานโรคนั้นๆ
วัคซีนป้องกันโรคต่างๆที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันทั้งโรคติดเชื้อเกิดจากเชื้อบัคเตรีและเชื้อไวรัสดังต่อไปนี้คือ
ตาราง
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภูมิคุ้มกันก่อเอง กับภูมิคุ้มกันรับมา
ภูมิคุ้มกันก่อเอง
|
ภูมิคุ้มกันรับมา
|
1.
เกิดขึ้นอย่างช้าๆ(หลังได้รับแอนติเจน)ประมาณ
7-14 วัน
2. ให้ภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสโรค
3. มีระยะเวลาอยู่ในร่างกายเป็นปี
4.
ใช้กับคนที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตนเอง
5. เช่น
วัคซีน OPV DPT ท็อกซอยบาดทะยัก
|
1. เกิดขึ้นทันที หลังจากได้รับสาร
2. ให้ภูมิคุ้มกันหลังสัมผัสโรค
3. มีระยะเวลาอยู่ในร่างกายไม่นาน (เป็นสัปดาห์)
4. ใช้กับคนที่ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้
(มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันหรือรับเชื้อที่รุนแรง)
5. เช่น
เซรุ่ม (ซีรัม) แก้พิษงู
แอนติท็อกซินบาดทะยัก
|
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันโรค
ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นระบบของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย หรือเกิดขึ้นในร่างกาย เพื่อให้พ้นจากอันตราย หรือโทษที่เกิดขึ้นจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ถ้ามีน้อยไปหรือมากไปก็จะมีผลเสีย คือ
ก่อให้เกิดโรคต่างๆได้
ภาวะพร่องภูมิคุ้มกัน (Immune deficiency
disorders)
ภาวะพร่องภูมิคุ้มกัน หมายถึง
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากภาวะบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น -
การขาดอาหารแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
-
การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา
และพยาธิต่างๆอย่างรุนแรง
-
การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
เช่น ยาพวกสเตอรอยด์
-
ติดเชื้อโรคเอดส์ (AIDS)
ภาวะภูมิไวเกิน หรือภาวะภูมิคุ้มกันมากเกินไป (Hypersensitivities)
ภาวะภูมิไวเกิน หมายถึง
ความผิดปกติ
(การตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกัน)
ที่เกิดจากร่างกายสร้างภุมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา
จนก่อให้เกิดพยาธิสภาพแก่เนื้อเยื่อและอวัยวะจนเกิดโรคขึ้น เช่น
โรคภูมิแพ้ (Allergy) หมายถึง
ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของร่างกายในการสร้างแอนติบอดี เพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมในสิ่งแวดล้อม (แอนติเจน)
โรคนี้เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
เช่น การแพ้ละอองเกสร หืด
แพ้อาหารบางอย่าง (ช็อกโกแลต,
อาหารทะเล) แพ้ยา และสารเคมี
พิษแมลงต่างๆ(ผึ้ง)
สารเคมีการของอาการแพ้ คือ
สารฮีสเตมีน
แม้จะไม่รุนแรงต่ออาการต่อเนื่องต้องให้การรักษาตลอดเวลาปีหนึ่งๆ
ประเทศไทยเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคภูมิแพ้จำนวนมาก
พวกที่แพ้ยาปฏิชีวนะ เช่น
ยาเพนนิซิลิน และ สเตรปโตมัยซิน
โรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อของตัวเอง (Autoimmune
disease)
โรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อของตัวเอง หมายถึง
ปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่มีต่อแอนติเจน
(เซลล์หรือเนื้อเยื่อ) ของตนเอง จึงเกิดความผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น
โรคของต่อมไทรอยด์ โรคตับ
โรคเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
(โลหิตจางบางชนิด)
เอดส์
(AIDS) ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency syndrome หมายถึง
กลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายเสื่อม หรือบกพร่อง
อันเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง
เชื้อ HIV
(Human Immunodificiency Virus)
โดยจะมีผลไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อยรักษาไม่หาย ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หรือมะเร็งในที่สุดก็จะตายด้วยโรคเรื้อรังนั้น