ท่องเที่ยว บันเทิง สาระความรู้

พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์



พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์  ( พุทธศตวรรษที่  23-25  )
                ลักษณะของการสร้างพุทธรูปในสมัยนี้ส่วนใหญ่รับอิทธิพลมาจากศิลปะสุโขทัย  และศิลปะอยุธยา  นอกจากนั้นแล้วสมัยนี้ก็มีการรับเอาศิลปะจากต่างชาติเข้ามามาก  ช่วงต้นราชสมัย มีการรับเอาศิลปะแบบจีนเข้ามา  แต่ก็ไม่มีผลมาสู่การสร้างพระพุทธรูป  ส่วนใหญ่เน้นไปที่องค์ประกอบต่าง ๆ ทางด้านอื่นที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา  เช่น  รูปปั้นยักษ์    ก็มีการนำเอาศิลปะของจีนมาตกแต่งประดับประดาผสมกับศิลปะไทยด้วย  พระปรางค์  ก็ผสมผสานกันระหว่างศิลปะไทยกับจีน  เป็นต้น
                ต่อมาในช่วงปลายสมัยรัตนโกสินทร์  ก็ได้รับอิทธิพลศิลปะตะวันตกเข้ามา   เนื่องจากชาวตะวันตกเข้ามาเมืองไทยมาขึ้น   ก็ได้นำเอาศิลปะขาองตนเข้ามาด้วย ส่วนใหญ่แล้วศิลปะตะวันตกมักจะมีอิทธิพลต่อศิลปะไทยในด้านสถาปัตยกรรมเสียส่วนใหญ่ เช่น พระอุโบสถ  พระวิหาร  เมรุ  กุฏิ  ศาลาการเปรียญ  เป็นต้น  หลังคาเป็นทรงไทย   แต่ตัวอาคารเป็นทรงตะวันตก  หรือทรงตะวันตกล้วน ๆ  เช่น  ตึกพาณิชย์  เป็นต้น    
                ในด้านประติมากรรมนั้นมีอิทธิพลน้อยมาก    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยนี้  ส่วนใหญ่สกุลช่างผู้สร้างมุ้งเน้นไปที่รายละเอียดของลวดลายบนองค์พระปฏิมาสกุลช่างจะหันไปเอาใจใส่ลายเครื่องประดับมากกว่าที่จะเน้นลักษณะของสีพระพักตร์ขององค์พระปฏิมา จึงเป็นผลทำให้องค์พระปฏิมาในสมัยนี้ประดับตกแต่งด้วยความอลังการ  มีลักษณะที่สวยสดงดงามมาก  เช่น  พระศรีศากยทศพลญาณ  พระพุทธรูปปางลีลา  องค์พระประธานที่พุทธมณฑล  จังหวัดนครปฐม ออกแบบ โดยศาสตราจารย์ ศิลปะ  พีระศรี เป็นต้นส่วนลักษณะรายละเอียดที่สามารถบ่งบอกถึงพระพุทธรูปสมัยนี้นั้นมีลักษณะที่ไม่แน่นอน  ขึ้นอยู่กับช่างผู้ออกแบบ

สมัยรัตนโกสินทร์
                เริ่ม ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ถึงปัจจุบัน มีลักษณะผสมกันของแบบสุโขทัย และแบบอยุธยา มีที่ต่างกันคือ พระเกตุมาลาและพระรัศมีสูงกว่า เส้นพระเกษาละเอียดกว่า มีวิวัฒนาการตามลำดับ ดังนี้


                สมัยรัชกาลที่ ๑ และ รัชกาลที่ ๒ คงทำตามแบบอยุธยา
                สมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม
                สมัย รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้า ฯ ให้แก้ไขพุทธลักษณะ ให้คล้ายคนธรรมดามากยิ่งขึ้น ได้แก่ ตัดพระเกตุมาลาออก คงมีแต่พระรัศมีเป็นเปลวอยู่บนพระเศียร
                สมัยรัชกาลที่ ๕ พระพุทธรูปกลับมีพระเกตุมาลาอีก
                สมัยรัชกาลปัจจุบัน เมื่อคราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ได้สร้างพระพุทธรูปปางลีลา มีลักษณะเหมือนมนุษย์สามัญ แต่มีศิลปแบบสุโขทัยปนอยู่
                พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระพุทธรูปโดยพระราชนิยมขึ้น ๒ ปาง คือ พระพุทธรูปประทับนั่ง ปางประทานพร และพระพุทธนวราชบพิตร เป็นปางมารวิชัย

พระพุทธรูปปางมารวิชัย



         พระพุทธรูปปางมารวิชัย วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร พระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับ ( นั่ง ) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา ( ตัก ) พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ( เข่า ) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี บางแห่งทำรูปแม่พระธรณีนั่งบีบมวยผมประกอบ นิยมสร้างเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ความเป็นมาของปางมารวิชัย
            ขณะที่พระบรมโพธิสัตว์ประทับ ณ โพธิบัลลังก์ พญามารวสวัตตีประทับบนหลังช้างคีรีเมฃล์สูง ๑๕๐ โยชน์ ยกทัพมาหมายจะทำลายความเพียรของพระองค์ พญามารเนรมิตร่างสูงใหญ่มีมือนับพันถือศัสตราวุธพร้อม นำเหล่าเสนามารมากมายมืดฟ้ามัวดิน เหล่าเทวดาทั้งหลายหนีไปหมด แต่พระบรมโพธิสัตว์มิได้หวาดกลัว พวกมารซัดศัสตราวุธเข้าใส่พระบรมโพธิสัตว์ แต่ศัสตราวุธเหล่านั้นกลายเป็นบุปผามาลัยไปสิ้น พญามารยังกล่าวทึกทักว่า รัตนบัลลังก์เป็นของตน พระบรมโพธิสัตว์ ทรงกล่าวว่า รัตนบัลลังก์นี้เกิดมาด้วยบุญที่พระองค์สั่งสมมาแต่ปางก่อน โดยอาศัยแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีได้ปล่อยมวยผมบีบน้ำ กรวดอุทิศผลบุญจากการทำทานของพระบรมโพธิสัตว์ให้ไหลพัดพาเหล่ามารไปจนสิ้น



พระพุทธรูป สมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษ ที่ ๒๔ - ปัจจุบัน)
                กรุงรัตนโกสินทร์ได้สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ จนถึงปัจจุบัน มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๙ พระองค์ ในสมัยรัชกาลต้นๆ รัชกาลที่ ๑ และ รัชกาลที่ ๒ พระองค์ท่านได้ทรงรวบรวมพระพุทธรูปสมัยต่างๆเข้ามาไว้ใน พระนคร เนื่องจากพระพุทธรูปมีขนาดต่างกัน ช่างจึงได้เอาปูนมาหุ้มแล้วลงรัก ปิดทอง เมื่อไม่นานมานี้ปูนได้เกิดกะเทาะออกทำให้เห็นว่าพระพุทธรูปจริงนั้น ทำด้วยทองสำริด ได้ทำการลงรักปิดทองใหม่ ยังได้อัญเชิญพระประธานขนาด ใหญ่ของสมัยสุโขทัยอยุธยาหลายองค์ เช่น พระศรีศากยมุนี รวมทั้งพระพุทธรูป ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างพระพุทธรูปอย่างพระแก้วมรกต
                ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นยุคที่พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ได้ทรงสร้าง พระพุทธรูปจำนวนมากเช่น พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พระเสรฐตมมุนี พระพุทธไตร รัตนายก(หลวงพ่อโต) พระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนฯ เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุด ในกรุงเทพฯ เป็นพระนอนที่มีความงดงามโดยเฉพาะที่ฝ่าพระบาท ทำเป็นลายประดับ มุกภาพมงคลร้อยแปด และพระองค์ยังทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปางห้ามสมุทรถือเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปทรงเครื่องในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยา ตอนปลาย เป็นพุทธลักษณะทรงเครื่องใหญ่เต็มยศ ประดับกระจกหรือเนาวรัตน์ทั้งองค์ ส่วนมากนิยมทำปางห้ามสมุทร พระพักตร์ดูเรียบเฉยเหมือนหน้าหุ่นตัวพระของโขน ยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ประทับอยู่บนฐานที่ลดหลั่นกันหลายชั้น ลวดลายละเอียด งดงาม มีผ้าทิพย์ประกอบดูรับกับองค์พระทรงเครื่องทั้งยังมีฉัตรประกอบทุกองค์ แม้แต่พระสาวกส่วนบัวที่อยู่ชั้นในสุดมีการทำลวดลายอย่างละเอียด เชื่อว่าได้แรง บันดาลจากพระแก้วมรกตในเครื่องทรงชุดประจำฤดูร้อน ยังมีปรากฏพระพุทธรูป แบบจีวรดอก คือ ลวดลายดอกดวงที่จีวร เชื่อว่าได้รับอิธิพลมาจากพระแก้วมรกต ในเครื่องทรงชุดประจำฤดูฝน
                ขอย้อนกล่าวถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (โดยเฉพาะในรัชกาลที่    และรัชกาลที่  ๒)   มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ไม่มากนัก  เพราะถือเป็น สมัยแห่งการสร้างบ้านแปงเมือง  มีการสร้างพระราชวังและวัดวาอาราม    ส่วนพระพุทธรูป  นั้น  โปรดเกล้าฯ ให้ไปชะลอมาจากราชธานีเก่า โดยเฉพาะจากกรุงสุโขทัย    และพระราชทานไปตามวัดต่างๆ   พระพุทธรูปที่มีการสร้างขึ้น ใหม่ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน    ลักษณะที่สำคัญซึ่งสืบทอดมาจากพระพุทธรูป สมัยอยุธยาคือ    พระพักตร์สี่เหลี่ยมเคร่งขรึม  ขมวดพระเกศาเล็ก   พระรัศมีเป็นเปลว   สังฆาฏิ เป็นแผ่นใหญ่   ตัวอย่างเช่น   พระประธาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ราชวรมหาวิหาร
          ในรัชกาลที่ ๓ ได้มีพระพุทธรูปแบบใหม่เกิดขึ้น  พระพุทธรูปดังกล่าวมีลักษณะ พระพักตร์คล้ายกับหุ่นละคร รวมทั้งพระราชนิยมในการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่   พระพุทธรูปที่สำคัญ  ได้แก่  พระพุทธยอดฟ้า-จุฬาโลก  และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประดิษฐานภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตน-ศาสดาราม
          ในรัชกาลที่     นิยมสร้างพระพุทธรูปให้เหมือนจริงมากขึ้น  โดยพระพุทธรูปไม่มีพระ-เกตุมาลา  และการครองจีวรมีริ้วแบบสมจริง  แต่ในรัชกาลที่ ๕ ได้ย้อนกลับไปสร้างพระพุทธรูปแบบมีพระเกตุมาลาตามเดิม จนเข้าสู่ สมัยแห่งงานศิลปกรรมร่วมสมัย   จึงได้นำรูป- แบบพระพุทธรูปที่เคยมีมาก่อน  มาสร้างใหม่ หรือปรับเปลี่ยนบางอย่างที่เป็นความนิยมสมัยใหม่เพิ่มเข้าไป  รูปแบบที่มีการนำกลับมาสร้างเป็นอย่างมาก ได้แก่ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย   เช่น   พระพุทธรูปลีลา  ซึ่งเป็นพระ-ประธานที่พุทธมณฑล  มีชื่อว่า  พระศรีศากยะ-ทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์  ซึ่ง ออกแบบโดย   ศาสตราจารย์ศิลป  พีระศรี    นาม เดิมคือ  คอราโด  เฟโรจี  (Corado  Feroci)